NEWSROOM

  • Increase company value by investing in people
    2018-03-19 13:47:45

    บทความคำสัมภาษณ์ของ คุณบุษบา ดาวเรือง

    เรื่อง “เล็ก” น้อยนิด มหาศาล

    The Standard x ท้อฟฟี่ แบรดชอว์

    บุษบา ดาวเรือง

                   

    ไม่บ่อยครั้งที่พี่เล็ก บุษบา ดาวเรือง ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มบริษัท จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ จำกัด (มหาชน) จะให้สัมภาษณ์สื่อ แล้วจู่ๆ ผมมาจากไหนก็ไม่รู้ได้มีโอกาสมานั่งคุยกับตำนานที่มีชีวิตของแกรมมี่ เพิ่งมารู้เหตุผลทีหลังว่าพี่เล็กเองก็ชื่นชมผลงานของเด็กน้อยโนเนมอย่างผม กับพี่เล็กตั้งใจว่าอยากให้เรื่องราวของพี่เล็กเป็นประโยชน์กับคนทำงานรุ่นใหม่ เลยเปิดห้องทำงานให้ The Standard x ท้อฟฟี่ แบรดชอว์ ไปสำรวจโลกของพี่เล็กโดยเฉพาะ ทั้งในมุมของการทำงานที่ทั้งสนุกทั้งทรหด พี่เบิร์ดกับเบื้องหลังที่เราไม่เคยรู้มาก่อน และประวัติศาสตร์เพลงไทยจากปากของผู้มีส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนวงการ

    “ท้อฟฟี่ เรามา Big Hug กันหน่อยมา” พี่เล็กทักทายผมด้วยการกอดแน่นๆ เกิดมาก็เพิ่งมีซีอีโอมาทักทายกันด้วยกันกอด Big Hug นี่แหละครับ ผมไม่รู้สึกถึงการกำลังจะได้สัมภาษณ์ “ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บริษัท จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ จำกัด (มหาชน)” แต่เหมือนกำลังได้มานั่งคุย ไม่สิ...ต้องเรียกว่า มานั่ง “เมาท์” กับพี่สาวที่มาถ่ายทอดพลังบวกให้เรา แปลกดีที่ผมไม่เคยรู้จักพี่เล็กเป็นการส่วนตัวมาก่อน แต่การเติบโตมากับเพลงแกรมมี่ทำให้ผมคุ้นเคยกับพี่เล็กไปโดยปริยาย

    ระหว่างที่รอจัดไฟในห้องทำงานของพี่เล็ก พี่เล็กจูงมือผมมานั่งอีกห้องหนึ่งเพื่อเปิดเพลงอัลบั้มใหม่ของพี่เบิร์ด “Bird Mini Marathon” ให้ฟังก่อนวางแผงในอีกสองสัปดาห์ต่อมา ซึ่งเพลง “กำแพง” ของพี่เบิร์ดกับ Polycat ทำให้ผมขนลุกซู่ เช่นเดียวกับพี่เล็กที่บอกว่า “นานแค่ไหนแล้วนะท้อฟฟี่ที่เราไม่ได้ฟังเพลงแบบนี้” เราเมาท์เพลินกันไปอีกนานเกือบชั่วโมงโดยยังไม่ได้เริ่มสัมภาษณ์ จนกระทั่งทีมงานถึงกับมาตามเราสองคนให้ไปทำงานเสียที!

    ผมจำไม่ได้ว่าหัวเราะไปกี่ครั้งระหว่างคุยกับพี่เล็ก แต่จำได้ว่ากลับมาพร้อมกับแรงบันดาลใจมหาศาล    

     

    ลูกน้องจะชอบเรียกห้องทำงานของหัวหน้าว่า “ห้องเย็น” ผมอยากรู้ว่าห้องทำงานพี่เล็กเย็นไหมครับ

    ไม่มั้งคะ เพราะมาหาพี่น่าจะร้อนมากกว่า เพราะพี่จะออกแนวร้อนแรง (หัวเราะ) จะชวนกันคึก ชวนกันสนุกมากกว่า พี่อยู่ห้องทำงานน้อยมาก เพราะส่วนใหญ่จะไปตระเวนอยู่ตามห้องประชุมต่างๆ

     

    ทราบมาว่าพี่เล็กชอบทำงานดึกๆ กลางคืนคือช่วงเวลาที่พี่เล็กจะมีไอเดียพรั่งพรูที่สุดหรือเปล่าครับ

    พวกพี่มาจากสายโปรดักชั่น เราจะทำงานกันยาวนานทั้งประชุม ทั้งผลิต ยุคแรกๆ บางทีเราไม่ได้กลับบ้านกันด้วยซ้ำ ซึ่งคุณไพบูลย์ (ไพบูลย์ ดำรงชัยธรรม) เขาก็จะตามมาไล่จับพวกเราตามร้านอาหารที่ใช้ประชุม พอเราเห็นรถเขาเข้ามา เราก็ไปแอบอยู่ใต้โต๊ะ (หัวเราะ) เราก็มีชีวิตสนุกสนานกับการทำงานแบบนี้มาตลอด แต่พอองค์กรมันเติบโตขึ้น มีคนมาช่วยเรามากขึ้น เราก็ไม่ต้องไปผจญภัยกันเหมือนเดิมแล้ว และคุณไพบูลย์ก็ไม่ต้องมาคอยตามจับพวกเราให้กลับบ้านกันแล้ว

     

    พี่เล็กต้องทำงานที่ใช้ความคิดสร้างสรรค์อยู่ตลอดเวลา พี่เล็กมีวิธีการหาไอเดียจากไหนครับ

    ไอเดียจะมาตอนที่เราสนุก แต่เมื่อไรที่เครียด พี่จะบอกตัวเองและบอกน้องๆ ว่า ถ้าเครียดต้องหยุดเลยนะ เพราะงานของเราคืองานบันเทิง งานให้ความสุขคน มันต้องเริ่มจากความสุขของเราก่อน

     

    ถ้าอย่างนั้น ความสุขของพี่เล็กคืออะไรครับ

    ความสุขของพี่คือการได้ทำงานที่เราสนุก ได้ทำงานกับคนที่เรารัก ได้ทำงานออกไปแล้วเห็นผลของงานนั้นว่าทำให้คนอื่นมีความสุข พี่จะให้ความสำคัญกับการเป็นคนให้ความสุขกับคนอื่น พี่จะขอบคุณพระเจ้าทุกวันเลยนะที่เราโชคดีที่ได้ทำงานที่เรารักและสนุกกับมันจริงๆ

     

    พี่เล็กบอกว่ารักงานที่ทำอยู่ อยากรู้ครับว่ารักอะไรในงานนี้

    พี่มาถึงวันนี้พี่พูดได้เลยว่าพี่ไม่ได้เรียนมาสักเรื่องหนึ่ง พี่คิดว่าใจรักนี่มันสำคัญมากเลยนะ ความรักเป็นพลังขับเคลื่อนที่รุนแรงมากๆ ความรักทำให้เราคิดแต่อยากจะทำอะไรดีๆ ให้คนอื่น พี่โชคดีที่ได้ทำงานที่ตัวเองรักและได้อยู่ในบรรยากาศของคนทำงานที่คิดดีต่อกัน แม้บางครั้งจะปากไม่ดีบ้าง (หัวเราะ) มันเป็นพลังในการทำงานของพี่อย่างดีเลยนะคะ

    พี่เริ่มไปทำงานโฆษณาโดยที่ไม่รู้จักด้วยซ้ำว่าสปอต 30 วินาทีคืออะไร พอคุณไพบูลย์ชวนพี่มาทำงานที่แกรมมี่ยิ่งแล้วใหญ่ พี่ไม่รู้อะไรสักอย่าง ทุกอย่างเป็นเรื่องการเรียนรู้ใหม่หมดด้วยตัวเอง จนถึงวันนี้ก็ยังต้องเรียนรู้อยู่ พี่ได้รับโอกาสดีที่พี่ๆ ไว้วางใจให้พี่ลงมือทำหลายอย่าง โดยที่พี่ไม่ได้มีความรู้มาก่อน มาเรียนรู้ใหม่พร้อมกับทุกคนนี่แหละค่ะ

     

    มีอะไรบ้างที่พี่เล็กต้องเริ่มลุยดุ่ยๆ จากศูนย์โดยที่ไม่เคยรู้มาก่อนบ้างครับ

    แทบจะทุกอย่างตั้งแต่วันแรกจนถึงวันนี้เลยค่ะ (หัวเราะ) ตอนมาทำงานแกรมมี่ปีแรกเลย ศิลปินคนแรกของเราคือ แพทย์หญิงพันทิวา สินรัชตานันท์ คุณไพบูลย์ก็บอกให้พี่เป็นคนแต่งเพลงเพราะเห็นว่าพี่เคยเป็นก๊อปปี้ไรเตอร์ แต่ก๊อปปี้ไรเตอร์กับการเขียนเพลงนี่มันคนละเรื่องกัน และพี่ไม่ได้เรียนดนตรีเลย พอพี่ไปปรึกษาพี่เต๋อ (เรวัติ พุทธินันทน์) พี่เต๋อตอบมาว่า “เล็กอยากให้สัมผัสตรงไหนก็สัมผัสได้หมดแหละ” พี่ก็ยกมือไหว้ พี่ขา ขอบคุณค่ะ พี่ช่วยหนูมาก (หัวเราะ) พี่ก็ต้องแกะทีละโน้ตว่าโน้ตนี้เป็นเสียงวรรณยุกต์ไหนแล้วค่อยเอาคำมาใส่ทีละคำ แต่งไปแต่งมาพี่ซัดไปสิบเพลงทั้งอัลบั้ม จู่ๆ เล็ก บุษบา ก็แต่งเพลงได้โดยที่ไม่มีความรู้ใดๆ (หัวเราะ)

    หรือวันที่พี่ต้องทำคอนเสิร์ตแบบเบิร์ดเบิร์ดครั้งแรก ทั้งพี่เต๋อและคุณไพบูลย์เขาก็จะเป็นนกนางนวลผู้เฒ่าที่ไปเห็นโลกมาเยอะแล้วมาถ่ายทอดให้เราอีกที อยู่มาวันหนึ่ง ทั้งสองท่านก็มาคุยกับพี่ว่าถึงเวลาทำคอนเสิร์ตให้พี่เบิร์ดแล้ว พี่ก็งงว่าคอนเสิร์ตคืออะไร เพราะตอนนั้นมีคอนเสิร์ตโลกดนตรีกับเจ็ดสีคอนเสิร์ตอยู่แล้ว เขาก็บอกว่าไม่ใช่ หมายถึงคอนเสิร์ตแบบที่เมืองนอกทำกัน มีขายบัตร พี่ยังไม่รู้เลยว่าถ้าขายบัตรจะต้องไปขายที่ไหน ทุกอย่างใช้มือทำหมด พิมพ์บัตร กรอกที่นั่งกันเอง ไปตั้งโต๊ะขายกันที่เซ็นทรัลจนห้างแตก เราเริ่มเรียนรู้มาจากการลงมือทำจริงๆ โดยที่ไม่รู้ว่ามันต้องทำอย่างไรกัน

    วันที่แกรมมี่เริ่มมาทำค่ายเพลงไม่มีตัวอย่างให้เราเรียนได้เลย พี่เต๋อกับพี่บูลย์มานั่งคุยกันว่าเราจะต้องทำมันอย่างเป็นมืออาชีพ แต่มันไม่มีโมเดลให้เราได้เลย เราก็ผ่านการเรียนรู้มาจากการลงมือทำพร้อมๆ กัน เพราะฉะนั้น ทุกวันเวลามันเป็นการลองผิดลองถูก พี่บูลย์จะบอกอยู่ตลอดว่า อาชีพนี้มันคือการเดา ถ้าเดาถูกบ่อยๆ ก็ทำอาชีพนี้ได้ ถ้าเดาแล้วผิดบ่อยๆ กรุณาไปทำอาชีพอื่น (หัวเราะ) มันไม่มีตราชั่งใดๆ มาวัดว่าเพลงนี้ส่งมาแล้วโดนแน่นอน เพราะฉะนั้น จะว่าเป็นโชคดีของพี่ก็ได้นะคะที่เรียนรู้จากการลงมือทำจริงๆ

     

    ความท้าทายของงานที่พี่เล็กทำคืออะไรครับ

    ทำค่ายเพลงนี่เหมือนประกาศผลสอบทุกวันเลยนะคะ พอเราวางอัลบั้มไปปุ๊บเราขายได้เท่าไร มันเหมือนประกาศผลสอบเลยว่าที่เราคิดมาทั้งหมดนั้นคนถูกใจหรือเปล่า มันคือการลองผิดลองถูก เรียนรู้จากการลงมือทำ

     

    แล้วเวลาประกาศผลสอบมาแล้วเราสอบได้ไม่เท่าที่เราหวังไว้ พี่เล็กทำอย่างไรครับ

    พี่จะถามตัวเองก่อนว่า เรามีส่วนใดๆ บ้างที่ทำให้งานออกมาไม่ได้ผลตามที่เราหวังไว้ เราจะได้แก้ตรงนั้น เพราะสิ่งนั้นเราควบคุมได้ วิธีคิดแบบนี้มันไม่ทำให้เราเป็นทุกข์ เพราะเมื่อมีข้อผิดพลาดแล้วเราเริ่มหาจำเลย เราจะเครียด ถ้าพลาดเดี๋ยวเราก็แก้ใหม่ ขออย่างเดียวอย่าให้ผิดซ้ำๆ ในทุกความผิดขอให้เราได้เรียนรู้ อะไรในโลกนี้ที่เป็นปัจจัยที่เราควบคุมไม่ได้เราอย่าไปฟูมฟาย เรามาสนใจสิ่งที่เราควบคุมได้ดีกว่า ทุกงานที่เราทำมันมาจากสมอง จากสองมือ จากการรวมพลังกัน ทุกครั้งที่เราได้อะไรกลับมามันก็มาจากการที่เราลงมือทำมันจริงๆ

     

    จากเดิมที่ไม่เคยรู้อะไรเลยแล้วผ่านการลองผิดลองถูกอย่างทุลักทุเลมาหลายปี จนถึงตอนนี้พี่เล็กพอจะเห็นสูตรของความสำเร็จหรือยังครับ

    การอยู่ตรงนี้บางทีก็ต้องใช้สูตร บางครั้งก็ต้องทิ้งสูตร พอสำเร็จมากๆ เข้ามันจะเริ่มกลายเป็นแพทเทิร์น ซึ่งมันเป็นธรรมชาติของคนทำงานที่จะรู้สึกว่าแบบนี้โดนแน่ก็จะทำแต่แบบนี้ จนต่างคนต่างก็เฮโลมาทำไอ้สิ่งที่โดนนั้นกันหมด พี่เคยใช้คำคำหนึ่งว่า “งานเราแกรมมี้แกรมมี่ สแตนดาษดื่นมาก” (หัวเราะ) หมายความว่าทำงานออกมาคล้ายกันหมด ไม่ต้องซื้อของคนนี้ก็ได้ เพราะก็เหมือนกับคนนั้น แต่ละช่วงเวลาเราต้องเฝ้าระวังไม่ให้เรดาร์ของเราเอียงเข้าข้างกันเกินไป มันสำคัญที่เราจะต้องจูนเครื่องนี้อยู่ตลอด

    แกรมมี่เราผ่านมาทุกช่วงเวลา ผ่านช่วงแกรมมี้แกรมมี่ สแตนดาษดื่น แกรมมี่อ้วน แกรมมี่เบลอ แกรมมี่งง (หัวเราะ) เราต้องค้นพบข้อบกพร่องของเราและตำหนิตัวเราได้ ต้องฟุตเวิร์คกันตลอด และขยับตัวเอง

     

    ที่ผ่านมางานของพี่เล็กต้องเจอกับมนุษย์ที่มีอารมณ์ศิลปินมากๆ ซึ่งบางทีก็น่าจะดราม่าเอาการอยู่ พี่เล็กมีวิธีการจัดการกับมนุษย์ดราม่าเหล่านี้อย่างไรครับ

    กลับไปเรื่องเบสิคของพี่เลยค่ะคือความรักและความคิดดี พี่คิดเสมอว่าเรายอมเป็นคนที่ให้เขารักเราน้อยลงก็ได้ แต่ขอให้เรายังเป็นคนหวังดีเหมือนเดิม เราก็เลยไม่มีความกังวลว่าเขาต้องมารักมาชื่นชมเรา เพราะเราอยู่ในจุดที่มั่นใจว่าเราคิดดีและหวังดีกับเขา มันเป็นพลังที่ดีนะคะ ไม่ว่าเราจะคุยกับน้องคนไหน หรือจะร่วมกันแก้ปัญหาใดๆ พี่จะไม่รู้สึกว่าเป็นเรื่องที่พี่ต้องเครียด

     

    พี่เล็กผ่านมาทั้งยุคเทปคาสเซ็ท เทปผี ซีดี ริงโทน สตรีมมิ่ง ดิจิตอลดาวน์โหลด และในอนาคตก็คงมีการเปลี่ยนแปลงอีกมากมาย พี่เล็กรับมือกับการเปลี่ยนแปลงที่เข้ามาในแต่ละยุคสมัยอย่างไรครับ

    ตั้งแต่วันที่เราเริ่มต้น เราอยู่กับความเข้าใจอย่างแท้จริงว่าสิ่งที่เราทำมันหมุนไปตามโลก งานของเรามันอยู่กับการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอด เรายังเคยพูดกันขำๆ ว่า หรือต่อไปเพลงมันจะมาเป็นเม็ด กินปุ๊บได้ยินเพลงไปด้วยเลย (หัวเราะ) เพราะฉะนั้น เรามีวิธีคิดอยู่ตั้งแต่ต้นว่าสิ่งที่เราทำมีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา เราต้องมีความพร้อม

    อีกอย่างคือพวกเราเป็นคนเชื่อเรื่องทำดีได้ดี รอดมาได้ทุกวันนี้หลายครั้งเรายังมองกลับไปเลยว่า โห...พระเจ้าช่วยเราหลายสิ่งมาก ขนาดยุคที่มีการกวาดล้างเทปผีซีดีเถื่อน พี่ยังคิดเลยว่า เหลือดรอดมาให้เราได้ขนาดนี้ก็นับว่าโชคดีมากแล้วนะ เพราะผีมันคงเยอะมาก (หัวเราะ) เราเชื่อมั่นในพลังการทำความดีจริงๆ ถ้าเราทำดี วันหนึ่งมันคงมีสิ่งดีๆ กลับมาหาเรา และมันทำให้เราไม่เสียขวัญไปด้วย  

    แม้กระทั่งตอนนี้ใครๆ จะบอกว่าวงการเพลงล่มสลายแล้วเพราะยุคดิจิตอลกำลังมา แต่เราต้องขอบคุณเทคโนโลยีโลกดิจิตอลนะเพราะมันทำให้คอนเทนท์ที่เรามีไปสู่ทุกที่ได้ทุกเวลา มันถึงอยู่ที่วิธีคิดว่าเราจะปรับตัวให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงที่เข้ามาได้อย่างไร พระเจ้าให้สมองกันมาแล้ว ก็ต้องคิดกันให้ออก

     

    จะว่าไปก็น่าสนใจนะครับว่า อย่างเทปผีหรือแผ่นประเทือง MP 3 ที่เคยเป็นอุปสรรคในวงการเพลงจนตอนนี้สิ่งเหล่านี้ก็ตายไปหมดแล้ว แต่แกรมมี่ก็ยังอยู่ เพลงก็ยังอยู่

    (หัวเราะ) นั่นสิ มันอยู่ที่ความเชื่อจริงๆ นะคะ ก็เหมือนอย่างที่ตอนนี้ไม่มีใครเขาออกอัลบั้มกันแล้ว และก็บอกว่าวงการเพลงตายแล้ว พี่ก็มาทำโปรเจ็กต์ “Bird Mini Marathon” เป็นอัลบั้มเต็ม พี่ๆ ยังคิดเลยว่าการทำอัลบั้มนี้เหมือนเป็นการทำให้วงการเพลงกลับมาคึกคักกันเหมือนเดิม

     

    เวลาที่ผมเห็นงานพี่เบิร์ด ผมไม่เห็นพี่เบิร์ดแค่ในฐานะศิลปินเดี่ยว แต่สัมผัสได้ถึงความเป็น “เบิร์ดแอนด์บุษบา” หรือ “เบิร์ด แอนด์ เดอะ แบนด์” เพราะพี่เล็กอยู่ในทุกงานของพี่เบิร์ด เหมือนเป็นอีกสมาชิกที่ไม่ได้อยู่บนเวที The Beatles ก็มี Sir George Martin เป็นสมาชิกที่ไม่ได้อยู่บนเวที เฉลียงเองก็มีพี่จิก ประภาส ชลศรานนท์ พี่เบิร์ดก็มีพี่เล็ก บุษบา

    พี่เบิร์ดบอกว่า ทำงานกับพี่เหมือนทาบวิญญาณกัน (หัวเราะ) เหมือนเราเป็นคนเดียวกัน พี่เบิร์ดเป็นเพื่อนร่วมงานที่น่าทำงานด้วยที่สุด ใครที่ได้ทำงานกับพี่เบิร์ดก็รู้สึกแบบนี้หมด พี่เบิร์ดมีพลังที่ทำให้เราคิดอะไรออกได้ไม่หยุดไม่หย่อน คิดอะไรบ้าคลั่งของเราไปได้เรื่อยๆ เพราะมีคนที่พร้อมจะร่วมคิดร่วมทำด้วยกันมาตลอด พี่เบิร์ดยังเคยบอกเลยว่า ทำงานกับพี่นี่ไม่ใช่แค่ทุกเม็ดนะ แต่เหมือนหยิบขึ้นมาทีละเม็ดแล้วบี้จนเป็นผงละเอียด (หัวเราะ) ทำไมเธอเยอะอย่างนี้

     

    มีเรื่องสนุกๆ ของ “เบิร์ด แอนด์ บุษบา” ที่เป็นการทาบวิญญาณกันไหมครับ

    เรื่องสนุกๆ ของพี่กับพี่เบิร์ดมีอยู่ตลอดเวลา มีแบบเบิร์ดเบิร์ดอยู่ปีหนึ่งที่ศูนย์วัฒนธรรม ตอนอยู่ในลิฟท์ก่อนที่พี่เบิร์ดจะต้องขึ้นบนเวที มือหนึ่งพี่ก็จะถือสคริปต์ อีกมือหนึ่งถือน้ำ พี่เบิร์ดเขาเหนื่อยมาก พี่ก็ทวนสคริปต์ให้พี่เบิร์ดอยู่ ทุกอย่างมันต้องเร็วมาก พี่เบิร์ดก็บอกพี่ว่า “น้ำ...น้ำ” พี่ก็ไม่รู้เรื่องเพราะมัวแต่โฟกัสเรื่องการบรีฟพี่เบิร์ด จู่ๆ พี่ก็ดื่มน้ำเองเลย แล้วลิฟท์ก็ขึ้น พี่เบิร์ดก็ขึ้นไปบนเวทีในขณะที่มองเห็นพี่กำลังดื่มน้ำแทนพี่เบิร์ดอยู่ พอจบเพลง เขาทนไม่ได้ เขาฟ้องคนดูว่าพี่ไม่ยอมให้เขาดื่มน้ำ แต่รู้ไหม ตอนที่พี่เบิร์ดพูดว่า “น้ำ...น้ำ” พี่ดูดแทนทุกคำเลยนะ เหมือนกับจะดูดให้เขา (หัวเราะ)

     

    เชื่อว่าที่ผ่านมาพี่เล็กกับพี่เบิร์ดซนกับการทดลองด้วยกันทั้งคู่ มีไอเดียอะไรก็ใส่ลงไปหมด ซึ่งปัญหาของการที่คนมีไอเดียเยอะมาอยู่ด้วยกันคือไอเดียเยอะเกินไปจนล้น ปัญหานี้เคยเกิดขึ้นกับพี่เล็กและพี่เบิร์ดไหมครับ

    หลังๆ พี่เพิ่งมาค้นพบว่าพี่ผิดไปแล้วจริงๆ ว่า เวลาพี่คิดแบบเบิร์ดเบิร์ดพี่จะไม่มีการยับยั้งชั่งใจในไอเดียเลยทั้งสิ้น พี่เบิร์ดเป็นคนที่เท่าไรก็ไม่พอ พี่เบิร์ดจะพูดอยู่ตลอดว่า “แค่นี้พอหรือยัง คนดูจะว่าเราไหม” เพราะพี่เบิร์ดรู้สึกเป็นห่วงคนดูมากว่าเขามาแล้วเขาต้องได้อะไรกลับไปให้คุ้มที่สุด มันเลยทำให้พี่คิดไม่หยุด และพี่เบิร์ดก็ดันทำได้ไม่หยุดเสียทีอีก จนคุณไพบูลย์เขามาเตือนพี่ว่า “ผมดูแบบเบิร์ดเบิร์ดแล้วรู้เลยว่ามันต้องใช้พลังเยอะมาก เล็กเข้าใจไหมว่าเวลาคนที่ไฟไหม้แล้วแบกตุ่มได้น่ะเป็นยังไง เบิร์ดน่ะเหมือนคนแบบนั้นแต่เป็นอยู่ทั้งคอนเสิร์ต” พี่ก็ไม่เข้าใจ ด้วยความที่เราซนร่วมกันทั้งพี่และพี่เบิร์ดนั่นแหละ แต่พอวันเวลาผ่านไป พี่ก็มาคิดนะว่าทำไมเราต้องให้พี่เบิร์ดทำเยอะมากขนาดนั้น

     

    ตอนที่พี่เบิร์ดออกอัลบั้ม “Dream” (พ.ศ. 2539) ถือเป็นอัลบั้มที่โชว์เหนือมากๆ แต่ในแง่ยอดขายถือว่าน้อยลงจากเมื่อก่อนจนตอนนั้นคนคิดว่าอาจจะหมดยุคของพี่เบิร์ดแล้ว แต่การกลับมาของพี่เบิร์ดในอัลบั้ม “ธงไชย เซอร์วิส” (พ.ศ. 2540) ซึ่งมีความเรียบง่ายกว่าเดิมมากกลับประสบความสำเร็จสูงมาก ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาการทำอัลบั้มของพี่เบิร์ดก็ดูจะยึดแนวทางความเรียบง่ายนี้มาอีกหลายอัลบั้ม จุดเปลี่ยนจากความซับซ้อนมาสู่ความเรียบง่ายของพี่เบิร์ดที่เกิดขึ้นในครั้งนั้นเป็นบทเรียนอะไรให้กับพี่เล็กและทีมงานบ้างครับ

    อัลบั้ม Dream เอามาฟังทุกวันนี้ยังล้ำอยู่เลยนะคะ ยุคนั้นเป็นยุค Producer Oriented เป็นยุคที่โปรดิวเซอร์จะผลักดันให้นักร้องทำอะไรที่เกินขีดจำกัดของเขาไปอีก แต่ในความเป็นจริงเราไม่จำเป็นต้องโชว์เหนือตลอดเวลา คนฟังเหนื่อย แต่ตอนนั้นเราไม่รู้หรอก เราเป็นพวกทำอะไรแล้วต้องกดไปให้สุดๆ ลองคิดดูว่า เพลง “พรุ่งนี้” ยาวตั้ง 7 นาทีกว่า อะไรกันมันต้องขนาดนั้น (หัวเราะ) พี่ยังจำได้เลยว่าเพลง “ดอกไม้ในทะเลทราย” พี่ว่าว (ธนวัฒ สืบสุวรรณ โปรดิวเซอร์) เขาเป็นกูรูทางดนตรีมาก มีเนื้อหลัก มีคอรัส มีร้องสวนกัน มีเนื้อใหม่เพิ่มเข้ามา มันดีแต่มันเยอะสิ่งมาก ยุคนั้นเป็นยุคแอดลิป พอพี่เบิร์ดแอดลิปได้ โปรดิวเซอร์ก็ใส่แอดลิปทุกช่องทางจนเราเรียกกันว่า ไม่ใช่แอดลิปแล้วแต่ “แอดโลภ” (หัวเราะ) เพราะไม่มีช่องว่างเลย พอเวลาผ่านไปเราถึงได้มาทบทวนว่าเราทำอะไรเยอะไป น้อยไป พลาดอะไรไป

    หลังจากอัลบั้มนั้นพี่เต๋อก็ไม่อยู่แล้ว คุณไพบูลย์ก็มาบอกว่า “อัลบั้มต่อไป เล็กโปรดิวซ์เลย” พี่ก็...”หนู? โปรดิวซ์?” ไม่ได้เรียนอะไรมาเลย (หัวเราะ) พี่ก็ถามคุณไพบูลย์ว่าทำไมถึงเป็นพี่ คุณไพบูลย์บอกว่า งานของเบิร์ดเป็นงานที่ต้องสื่อสารกับคน เป็นสิ่งสำคัญไม่แพ้ทางด้านดนตรีเลย และเขาก็เชื่อว่าพี่รู้จักพี่เบิร์ด และพี่รู้จักคนฟังพี่เบิร์ดดี พี่ก็ไปบอกพี่เบิร์ดว่า “เบิร์ดรู้แล้วใช่ไหมว่าพี่ต้องเป็นโปรดิวเซอร์ของเบิร์ด เบิร์ดคาดหวังอะไรจากพี่ ซึ่งไม่น่าจะมีอะไรให้เชื่อได้เลยนะเพราะพี่ไม่รู้เรื่องดนตรีเลย เบิร์ดคาดหวังไหมว่ามันจะต้องล้านถล่มทลาย” เพราะพี่เบิร์ดก็ผ่านจุดล้านตลับมาตลอด แต่พี่เบิร์ดรักทีมมาก เขารู้ว่าเราตั้งใจทำสิ่งที่ดีที่สุด และไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เราก็จะเรียนรู้จากสิ่งนั้น ก็เป็นจุดที่ทำให้เราจับมือไว้แล้วไปด้วยกันทำอัลบั้มออกมาโดยที่ไม่ได้เครียดอะไร

    เย็นวันหนึ่งพี่กำลังนั่งรถกลับบ้านก็มองออกไปยังท้องถนน พี่ก็คิดได้ว่า คนเดินถนนแบบนี้ก็ชอบเบิร์ดกันทุกคนนั่นแหละ และมาคิดต่อว่าคนแบบนี้เขาต้องการอะไรจากพี่เบิร์ดบ้าง ก็ออกมาเป็นอัลบั้ม “ธงไชย เซอร์วิส” ที่ประสบความสำเร็จมาก และพี่เบิร์ดก็น่ารักมาก หลังจากผ่านอัลบั้ม Dream มานี่ก็ขั้นเทพแล้ว แอดลิป แอดโลภ กันขนาดนั้น พอมาทำอัลบั้ม “ธงไชย เซอร์วิส” พี่บอกว่า “เบิร์ดช่วยร้องแบบที่ร้องตามได้ง่ายๆ ราวกับร้องคาราโอเกะนะ” กลายเป็นพี่เบิร์ดก็พร้อมทันที อัลบั้มนั้นเลยเป็นจุดเปลี่ยนที่เราพาพี่เบิร์ดกลับมาได้จากความเรียบง่าย

     

    สองสามอัลบั้มต่อมา พี่เบิร์ดก็ยังคงความเรียบง่ายอยู่ จนกระทั่งมาถึงอัลบั้มที่โคตรครีเอทีฟที่สุดในยุคนั้นคือ “ชุดรับแขก” (พ.ศ. 2545) ที่นำความเป็นไทยและวัฒนธรรมเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มาทำให้กลายเป็นความป๊อบ อะไรคือสิ่งที่ทำให้พี่เล็กพาความครีเอทีฟระดับนี้ไปได้สุดทางขนาดนั้นครับ

    อันหนึ่งที่พี่เบิร์ดทำได้ดีมากเลยคือความเป็นไทย มีคนเคยไปดูแบบเบิร์ดเบิร์ดที่พี่เบิร์ดเล่นลิเกแล้วบอกว่า พี่เบิร์ดคือสะพานสายรุ้งที่พาศิลปวัฒนธรรมไทยไปสู่คนรุ่นใหม่ พี่ก็คิดในใจมาตลอดเวลาถ้ามีโอกาสเมื่อไรก็อยากเอาความเป็นไทยมาทำให้โมเดิร์น ซึ่งก่อนหน้าที่จะมาถึงมือโจอี้บอย พี่เคยบรีฟงานแบบนี้แหละกับทีมอื่นแล้วเพลงที่ได้ออกมามันยังไม่ใช่ มันเป็นความเป็นไทยแบบที่จะไปงานเอเชียนเกมส์ (หัวเราะ) ดูเป็นท่าเยอะท่ายาก ไม่สนุก ไม่มัน

    วันที่โจอี้บอยมาอยู่แกรมมี่พี่ก็คิดว่า ถ้าได้แบบโจอี้บอยมาทำได้จริงๆ มันจะเด็ดมาก พี่ก็เลยไปคุยกับโจอี้บอยว่าคิดอย่างไรกับดนตรี 4 ภาคของไทย โจอี้บอยบอกว่า “พี่! ผมอินมาก” ถ้าคนอย่างโจอี้บอยอินมันจะไม่มีวันไปเป็นเพลงเปิดเอเชียนเกมส์ได้แล้วนะ พี่ก็มาคิดต่อว่า มันมีเพลง “คนไม่มีแฟน” อยู่ ซึ่งถ้าไม่ใช่มุมเศร้าก็ต้องเป็นมุมกะล่อน เขาบอกว่าไม่มีแฟนแต่เขาก็แซวหญิงไปเรื่อย ถ้าอย่างนั้นเราไปจีบกันแต่ละภาคเลยดีไหม และเวลาคิดงานพี่จะคิดไปถึงภาพสุดท้าย พี่ก็บอกโจอี้บอยว่า วันหนึ่งงานของเราต้องได้ MTV Asia Music Awards เราจะต้องไปรับที่สิงคโปร์กันเลย! และตอนนั้นมันมีผับ MOS (Mystery of Sound) มาเปิดใหม่ พี่กับโจ้ก็ชวนกันไป พี่ก็บอกว่า “โจ้ เพลงที่พี่หมายถึงมันต้องเปิดกันที่นี่ได้เลย”

    นี่ก็เป็นบทเรียนเหมือนกันเรื่อง “Find the right man” ถ้าเราหาคนที่ใช่ได้เจอนี่เรากลับบ้านนอนได้เลย แต่ถ้าไม่เจอเราก็จะไม่ได้สักที แล้วในที่สุดเราก็ได้ไปรับรางวัล MTV Asia Music Awards กันจริงๆ ด้วย

     

    “The Right Man” ของพี่เบิร์ดมักจะเป็นคนรุ่นใหม่ในยุคนั้น ทั้งโจอี้บอย เสก โลโซ หมู Muzu จนมาถึง 8 ศิลปินในอัลบั้ม “Bird Mini Marathon” เช่นกัน

    พี่เบิร์ดเป็นคนเปิดกว้างมาก ถ้าพูดถึงวันนี้พี่เบิร์ดก็เป็นไอคอน น้องๆ ก็เป็นไอดอลรุ่นใหม่ ทันทีที่พี่เบิร์ดรู้ว่าเราคิดงานกันแบบนี้ พี่เบิร์ดบอกว่า เพลงออกมาดีอย่างไรยังไม่สำคัญเท่ากับการที่น้องๆ คิดดีกับพี่เบิร์ดเลย

     

    แต่การพาพี่เบิร์ดมาผจญภัยร่วมกับศิลปินรุ่นน้องแบบนี้ถือเป็นการเดิมพันที่สูงมาก มีคนทัดทานบ้างไหมครับ และอะไรทำให้พี่เล็กยังยืนหยัดในความคิดนี้

    กว่าจะมาถึง “Bird Minimarathon” แบบที่เราได้ฟังกัน มันผ่านการลองผิดลองถูกกันกว่า 3 ปี พี่เคยนัดนักแต่งเพลงรุ่นใหญ่ๆ กันมาแล้วปรากฏว่าด้วยบรรยากาศของวงการเพลงตอนนั้นมันหดหู่มากจนคนทำเพลงอาจจะรู้สึกว่าจะทำไปทำไม คนไม่ได้ฟังเพลงกันแล้ว พี่ก็เลยคิดว่างั้นพักรุ่นใหญ่ไว้ก่อน เราลองมากับรุ่นน้องดีกว่า น่าจะหลอกล่อได้ง่ายกว่า (หัวเราะ)

    ระหว่างทางก็จะมีคนมาทักพี่ด้วยความเป็นห่วงพี่และพี่เบิร์ดอยู่เสมอว่า พี่เล็กทำอะไรอยู่ แฟนเพลงพี่เบิร์ดเขาไม่ได้ต้องการอะไรแบบนี้เลยนะ พี่คิดขนาดที่ว่า พี่เคยไปคุยกับทรงกลด บางยี่ขันว่า น้องทำหนังสืออะไรออกมาสักเล่มที่สัมภาษณ์พี่เบิร์ดกับคนทำงานดีไหมชื่อ “แรงบันดาลใจ ใจบันดาลแรง” ก็ได้ แล้วถ้าเพลงมันไม่เวิร์ค เราก็ใส่ไปกับหนังสือเล่มนี้ได้ มันก็เป็นความดีงามไม่ใช่เหรอ

    แต่พี่ก็มาคิดและบอกกับน้องๆ ว่า เราทำด้วยความรู้สึกว่าอยากทำให้วงการเพลงเราคึกคักอีกครั้ง และงานที่เราตั้งใจก็มาจากความรู้สึกที่ดีต่อกันทั้งสิ้น ไม่ได้คิดว่าจะไปก่ออาชญากรรมใดๆ ก็ขอให้พลังในความตั้งใจดีนี้อย่าให้ใครได้ว่าอะไรเรา

     

    พี่เล็กได้เรียนรู้อะไรจากการทำงานกับคนรุ่นเจนวายแบบนี้ครับ

    นี่ก็เป็นอีกหนึ่งการเรียนรู้ของพี่ วันที่น้องๆ ส่งงานกันเข้ามา พี่ก็คุยกับอ๊อฟ – บิ๊กแอส (เอ็กเซ็กคิวทีฟ โปรดิวเซอร์) ว่า แม้เราจะปล่อยให้น้องทำงานให้เป็นลายเซ็นของน้อง แต่เราก็มีวิธีคิดแบบเมนสตรีมอยู่ แต่เราก็จะคิดว่า เมื่อไรก็ตามที่เราเริ่มเอาตัวเราเองเข้าไปตัดขอบให้น้องมันก็จะไม่ใช่แล้ว เราต้องให้อิสระเขา มันก็เลยเหมือนเป็นการพาพี่เบิร์ดไปสู่อีกขั้น พี่ก็ต้องขอบคุณออฟด้วยที่พาพี่ก้าวข้ามผ่านไปสู่การฟรีฟอร์ม ใครมายังไงก็ไปแบบนั้น UrBoyTJ ยังเคยมาบอกพี่เลยว่า ที่จริงเขาทำเพลงไว้อีกแบบ เป็นเพลย์เซฟเผื่อไว้ว่าส่งอันที่ “ปล่อยของ” แล้วพี่เบิร์ดไม่ชอบ ปรากฏว่าส่งไปอันแรกพี่เบิร์ดชอบถึงขนาดที่บอกว่าเอาเพลงนี้เปิดตัวเลย เมื่อทุกคนได้อิสระในการทำงาน ประกอบกับพี่เบิร์ดเป็นคนที่ทุกคนมีความสุขที่จะได้ทำงานด้วย และพี่เบิร์ดเป็นนักทำการบ้าน เราก็เลยได้ฟังงานเพลงแบบที่ขับเคลื่อนได้ด้วยคนเจนวายจริงๆ

     

    เข้าใจว่าพี่เล็กกับพี่เบิร์ดสนุกกับการทดลองมาตลอด แต่ถามจริงๆ ว่าในการทดลองครั้งนี้ สถานการณ์ในวงการเพลงมันไม่เหมือนเดิม พี่เล็กยังสนุกกับการทดลองได้อยู่ไหมครับ

    พี่ถึงต้องขอบคุณพี่เบิร์ดจริงๆ ที่กล้าให้พี่คิดอะไรไกลถึงไหนยังไงก็ได้ พี่เบิร์ดมีความไว้ใจพวกเราว่าคิดดีต่อกัน พี่ยืนยันกับพี่เบิร์ดได้เลยว่าไม่มีสักวินาทีเลยที่จะคิดไม่ดีต่อกัน แต่พี่เชื่อว่าคนเราไม่มีเดินถูกได้ทุกเวลาหรอกค่ะ เดินไป มีผิด มีพลาด มีเผลอ แต่เราพร้อมปรับ พร้อมแก้ ช่วยกันเตือน เพราะฉะนั้น โปรเจ็กต์นี้มันเกิดมาจากความเปิดกว้างของพี่เบิร์ดมากๆ

     

    ไม่ว่าผลลัพธ์ของอัลบั้มนี้จะเป็นอย่างไรพี่เล็กก็น่าจะหัวเราะได้ดังๆ และสนุกกับการทดลองต่อไปอยู่ดี  

    ต้องปล่อยค่ะ ไม่อย่างนั้นเราจะเกร็งไปหมด ถ้าเราไปยึดติดกับความเดิมตอนที่แล้วว่าเคยประสบความสำเร็จแบบนั้นแบบนี้มาก่อน  สิ่งเหล่านี้มันเป็นจุดสกัดดาวรุ่งมากๆ เลยนะคะ เราต้องปล่อยไปเลย พี่เชื่ออย่างหนึ่งว่าเราตั้งใจดีนะ เราไม่ได้ก่ออาชญากรรมอะไร ไม่ได้ทำร้ายใครเลย แล้วก็เราก็พุ่งของเราต่อไป และพี่ว่าเราต้องใจกล้า บางครั้งต้องถึงขั้นหน้าด้านกันนะ (หัวเราะ) ครั้งนี้ไม่โดนก็ขอโทษ เดี๋ยวเอาใหม่ เราอย่าไปโมโหชีวิต พี่กับพี่เบิร์ดนี่ไม่เคยโกรธใครเลย สะกดคำว่าโกรธ สระโอยังไม่ทันได้ม้วนก็หายโกรธแล้ว ไม่ว่าจะทำงานอะไรแล้วมีคนเดินออกไปด้วยความสุข ได้ความคิดที่ดีกลับไป นั่นก็เป็นสิ่งที่ทำให้เราสนุกที่จะคิดจะทำดีต่อไปแล้ว

     

     

    ไฟล์แนบ  :  บทความประชาสัมพันธ์  และภาพประกอบ

    Link : https://thestandard.co/boosaba-daoruang/